ผลการขุดค้นทางโบราณคดีล่าสุดที่ "หอคอยกะโหลกมนุษย์" ของชาวแอซเทค ซึ่งมีการค้นพบที่ใต้ดินใจกลางกรุงเม็กซิโกซิตี้เมื่อสองปีก่อน ชี้ถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใหม่ที่นักโบราณคดีคาดไม่ถึง โดยพบกะโหลกศีรษะของผู้หญิงและเด็กปะปนอยู่กับกองกะโหลกนับหมื่นที่เดิมสันนิษฐานว่าเป็นของนักรบที่เป็นชายล้วน
การค้นพบดังกล่าวทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิแอซเทคโบราณ ที่ได้จากบันทึกของกองกำลังสำรวจและยึดครองดินแดนของสเปนในศตวรรษที่ 16 ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีความคลาดเคลื่อน
ซึ่งนักโบราณคดียังไม่แน่ใจว่า ข้อสันนิษฐานเรื่องกะโหลกศีรษะที่ว่าเป็นของนักรบชายล้วนนั้นอาจไม่เป็นจริง
หรืออาจมีผู้หญิงและเด็กในกองทัพของข้าศึกที่ถูกสังหารรวมอยู่ก็เป็นได้
ซึ่งนักโบราณคดียังไม่แน่ใจว่า ข้อสันนิษฐานเรื่องกะโหลกศีรษะที่ว่าเป็นของนักรบชายล้วนนั้นอาจไม่เป็นจริง
หรืออาจมีผู้หญิงและเด็กในกองทัพของข้าศึกที่ถูกสังหารรวมอยู่ก็เป็นได้
เมื่อราว 500 ปีก่อน ทหารสเปนในกองกำลังสำรวจและยึดครองดินแดนในแถบเมโสอเมริกาชื่อ อันเดรส เด ทาเปีย ได้บันทึกสิ่งที่เขาพบเห็นในจักรวรรดิแอซเทคว่า ในเมืองหลวงมีหอคอยสูงที่ก่อด้วยกะโหลกมนุษย์นับหลายหมื่นศีรษะ ซึ่งสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับทหารสเปนเป็นอย่างมาก
โดยกะโหลกมนุษย์เหล่านี้เป็นของนักรบที่พ่ายแพ้ต่อแสนยานุภาพของกองทัพแอซเทคนั่นเอง
โดยกะโหลกมนุษย์เหล่านี้เป็นของนักรบที่พ่ายแพ้ต่อแสนยานุภาพของกองทัพแอซเทคนั่นเอง
นักประวัติศาสตร์ประหลาดใจที่ค้นพบหัวกะโหลกของเด็กและผู้หญิงด้วยมีการขุดค้นพบหอคอยกะโหลกมนุษย์ตามบันทึกนี้เมื่อปี 2015
โดยนักโบราณคดีของเม็กซิโกเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารหลวง (Templo Mayor ) ที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจักรวรรดิแอซเทค และหอคอยนี้น่าจะเชื่อมต่อกับชั้นวางกะโหลกมนุษย์ขนาดใหญ่ที่วิหาร Huitzilopochtli ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ สงคราม และการบูชายัญด้วยมนุษย์ของชาวแอซเทคด้วย
เชื่อว่าหัวกะโหลกเหล่านี้เป็นของนักรบที่พ่ายแพ้
ปัจจุบัน นักโบราณคดีสามารถขุดกะโหลกมนุษย์จากหอคอยดังกล่าวขึ้นมาได้แล้ว 676 ศีรษะ และน่าจะยังค้นพบเป็นจำนวนเพิ่มเติมอีกมาก เพราะการขุดค้นบริเวณหอคอยทั้งหมดยังไม่สิ้นสุดลง