![]() |
ดร.ไมค์ บัคลีย์ แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ บอกในรายงานซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications ว่า เราเข้าใจกันมานานว่า อูฐได้ปรับตัวให้อยู่รอดได้ใน
ทะเลทรายร้อนแล้ง แสงแดดจ้า
ทะเลทรายร้อนแล้ง แสงแดดจ้า
@ ดร.ไมค์ บัคลีย์ สกัดคอลลาเจนจากเศษกระดูกของอูฐยักษ์
แต่งานวิจัยครั้งนี้พบว่า ในยุคหนึ่ง สัตว์ชนิดนี้ได้วิวัฒนาการตัวมันเองในสภาพแวดล้อมแบบตรงกันข้าม คือ หนาวจัด ต้องยังชีพท่ามกลางพายุหิมะ ฟ้ามืดครึ้ม ทัศนวิสัยหม่นมัว
ดร.บัคลีย์บอกว่า จุดน่าสนใจก็คือ เป็นอูฐที่พบในเขตเหนือสุดเท่าที่เคยเจอ
ทีมวิจัยของพิพิทธภัณฑ์ธรรมชาติแคนาดา ได้ออกสำรวจ 3 ครั้งนับแต่ปี 2549 ที่เกาะแอลส์แมร์ ในเขตไฮอาร์กติก ของแคนาดา พบเศษกระดูกขาของอูฐราว 30 ชิ้น
ผลวิเคราะห์โปรตีน คอลลาเจน ในชิ้นกระดูกเหล่านั้น บ่งบอกว่า อูฐพวกนี้เคยมีชีวิตเมื่อ 3.5 ล้านปีก่อน เป็นบรรพบุรุษโดยตรงของสายพันธุ์ในปัจจุบัน
พวกมันอาศัยอยู่ในช่วงกลางสมัยไพลโอซีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกมีอากาศอบอุ่น แต่ในเขตอาร์กติกก็ยังหนาวมาก อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ฤดูหนาวยาวนาน แม้กระนั้น ยังมีต้นไม้พืชพรรณขึ้นปกคลุมอยู่ด้วย
นักวิทยาศาสตร์รู้กันอยู่แล้วว่า ในทวีปอเมริกาเหนือเคยมีอูฐ ฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุราว 45 ล้านปี แต่ก็ยังนับว่าน่าประหลาดใจที่ได้พบซากดึกดำบรรพ์ของอูฐที่ระดับละติจูดสูงขนาดนี้
ชิ้นส่วนกระดูกขาที่พบ บ่งชี้ว่า อูฐพวกนี้ตัวโตกว่าอูฐสมัยใหม่ราว 30% วัดส่วนสูงจากตีนถึงไหล่ได้ประมาณ 2.7 เมตร และมีขนหนารุงรังกว่า เพื่อกันหนาว
พวกมันเป็นอูฐโหนกเดียว โหนกของอูฐนั้น มีไว้เก็บสำรองไขมัน ไม่ใช่น้ำ อย่างที่มักเข้าใจกัน
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เจ้าอูฐยักษ์พวกนี้อาศัยแหล่งพลังงานจากโหนกตลอด 6 เดือนของฤดูหนาว มีดวงตาขนาดใหญ่สำหรับรับแสงเพื่อให้มองเห็นได้ดีขึ้นในสภาพแสงน้อย และมีตีนแบนราบสำหรับเดินบนหิมะ.