พวกเขาหายไปไหน!? นี่คือ 5 เมืองที่ผู้คนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย!
New City Village : เมื่อปี 1980 หมู่บ้านแห่งนี้ถูกสร้างไว้เพื่อเป็นที่พักอาศัยของคนงาน ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อของ ‘ตรอกปีศาจ’ หมู่บ้านแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่ปี 1992 โดยไม่ทราบสาเหตุ ถนนทุกสายในเมืองถูกปิดตาย รวมไปถึงประตูและหน้าต่างของบ้านทุกหลังที่ถูกตอกด้วยแผ่นไม้
โดยที่ภายในบ้านเหล่านั้นยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ทิ้งไว้อยู่ กล่าวกันว่าหมู่บ้านแห่งนี้ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี และรัฐบาลได้ปิดบังไว้ หรือไม่ก็เพราะข่าวลือที่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมบูชายัญมนุษย์
โดยที่ภายในบ้านเหล่านั้นยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ทิ้งไว้อยู่ กล่าวกันว่าหมู่บ้านแห่งนี้ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี และรัฐบาลได้ปิดบังไว้ หรือไม่ก็เพราะข่าวลือที่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมบูชายัญมนุษย์
Lake Anjikuni : ในปี 1930 หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้กับทะเลสาบ Anjikunu ชาวอินูอิตนับพันคนหายตัวไปอย่าลึกลับ โจ ลาเบลล์ ให้การว่าเขาพบหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้าง โดยที่ภายในกระท่อมเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยอาหาร อุปกรณ์ต่าง ๆ และอาวุธ นอกจากนี้ยังพบกองไฟ และหม้อที่วางไว้ยังร้อนอยู่
ไม่มีร่องรอยการอพยพของผู้คนจำนวนมาก เมื่อตำรวจเดินทางมาสืบสวน พวกเขาได้พบกับเรื่องราวเกี่ยวกับแสงประหลาดบนท้องฟ้าใกล้กับจุดเกิดเหตุ และหลุมฝังศพที่ถูกฝังไว้ถูกเปิดออก ศพที่ควรอยู่ในโลงกลับหายไปอย่างลึกลับ
ไม่มีร่องรอยการอพยพของผู้คนจำนวนมาก เมื่อตำรวจเดินทางมาสืบสวน พวกเขาได้พบกับเรื่องราวเกี่ยวกับแสงประหลาดบนท้องฟ้าใกล้กับจุดเกิดเหตุ และหลุมฝังศพที่ถูกฝังไว้ถูกเปิดออก ศพที่ควรอยู่ในโลงกลับหายไปอย่างลึกลับ
Audley’s Town : เมืองเล็ก ๆ อย่าง Audley’s Town เคยมีประชากรราว 250 คน ในช่วงศตวรรษที่ 19 มันตั้งอยู่บนผืนดินของ Castleward โดยถูกสร้างขึ้นในปี 1834 ก่อนที่จะขยายตัวหมู่บ้านเข้าไปในป่ามีข่าวลือว่า Lady Bangor แห่ง Castleward
สั่งให้รื้อถอนหมู่บ้านทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการทัศนียภาพที่ดีขึ้น กล่าวกันว่าคนในหมู่บ้านทั้งหมดถูกส่งขึ้นเรือที่มีชื่อว่า Rose เพื่อมุ่งหน้าไปยังอเมริกา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการเดินทางของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เชื่อกันว่าชาวบ้านทั้งหมดอาจเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เรืออับปาง หรือไม่ก็ถูกจับตัวโยนลงทะเลไปแล้วก็ได้
สั่งให้รื้อถอนหมู่บ้านทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการทัศนียภาพที่ดีขึ้น กล่าวกันว่าคนในหมู่บ้านทั้งหมดถูกส่งขึ้นเรือที่มีชื่อว่า Rose เพื่อมุ่งหน้าไปยังอเมริกา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการเดินทางของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เชื่อกันว่าชาวบ้านทั้งหมดอาจเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เรืออับปาง หรือไม่ก็ถูกจับตัวโยนลงทะเลไปแล้วก็ได้
Roanoke : ในปี 1587 ชาวอาณานิคม 115 คน เดินทางจากประเทศอังกฤษ มาบนเกาะ Roanoke บนชายฝั่งนอร์ทแคโรไลนา พวกเขาถูกโจมตีโดยชาวอินเดียนแดง ขณะที่กำลังจะหลบหนี พวกเขาถูกบังคับให้อยู่ต่อโดยผู้บัญชาการเรือ
เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดี ชาวอาณานิคมเลยส่งตัวแทนกลับไปประเทศอังกฤษเพื่อขอเสบียงและความช่วยเหลือ 3 ปีผ่านไป เมื่อตัวแทนของชาวอาณานิคมกลับมาพร้อมเสบียงและกำลังคน พวกเขาพบว่าชาวอาณานิคมทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับ โดยทิ้งเบาะแสไว้เพียงอักษรที่ถูกสลักบนต้นไม้ว่า ‘Croatoan’ เท่านั้น
เมื่อเห็นท่าว่าไม่ดี ชาวอาณานิคมเลยส่งตัวแทนกลับไปประเทศอังกฤษเพื่อขอเสบียงและความช่วยเหลือ 3 ปีผ่านไป เมื่อตัวแทนของชาวอาณานิคมกลับมาพร้อมเสบียงและกำลังคน พวกเขาพบว่าชาวอาณานิคมทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับ โดยทิ้งเบาะแสไว้เพียงอักษรที่ถูกสลักบนต้นไม้ว่า ‘Croatoan’ เท่านั้น
Hoer Verde : เมืองแห่งนี้ถูกลบไปจากบันทึกในช่วงปฎิวัติของประเทศบราซิลในปี 1930 รายละเอียดมีไม่มากนัก เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนั้น แต่ชาวเมืองกว่า 600 คน หายสาบสูญไปอย่างลึกลับเหลือเพียงแค่เมืองที่ว่างเปล่า มีผู้พบเห็นปืนเพียงกระบอกเดียวในโรงเรียน และประโยคที่อาจเป็นเบาะแสเดียวบนกระดานดำที่ถูกเขียนไว้ว่า ‘ไร้ซึ่งความรอด’
เชื่อกันว่าชาวเมืองอาจพากันอพยพเพื่อหนีสงครามกองโจร แต่ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ในบางทฤษฎีเชื่อว่าข้อความที่เขียนบนกระดานดำนั้นเป็นภาษาลาติน ที่เป็นการเตือนภัยถึงการคุกคามจากพวกนอกรีตใจความว่า ‘Extra Ecclesiam Nulla Salus’ หรือ ‘นอกคริสตจักรนั้นไร้ซึ่งความรอด’
เชื่อกันว่าชาวเมืองอาจพากันอพยพเพื่อหนีสงครามกองโจร แต่ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ในบางทฤษฎีเชื่อว่าข้อความที่เขียนบนกระดานดำนั้นเป็นภาษาลาติน ที่เป็นการเตือนภัยถึงการคุกคามจากพวกนอกรีตใจความว่า ‘Extra Ecclesiam Nulla Salus’ หรือ ‘นอกคริสตจักรนั้นไร้ซึ่งความรอด’