ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

ยอดมนุษย์พันธุกรรมแบบ DEADPOOL และ WOLVERINE มีอยู่จริง

😠ยอดมนุษย์พันธุกรรมแบบ DEADPOOL 
และ WOLVERINE มีอยู่จริง!
ค้นหา
Custom Search
Anti-Hero ชื่อดังอย่าง Deadpool ได้รับพลังแบบเดียวกับ Wolverine นั่นคือ Healing Factor ที่ทำให้ไม่ว่าจะบาดเจ็บปางตายขนาดไหน ก็สามารถกลับมาแข็งแรงปกติได้ภายในไม่กี่วินาที แต่นี่เป็นเพียงจินตนาการ ที่อยู่ภายในการ์ตูนเท่านั้น เพราะหากเราบอกว่ามีคนเป็นอย่างนั้นจริงๆ เชื่อว่าทุกคนย่อมไม่เชือแน่นอน แต่ขอให้ลองอ่านเรื่องนี้ดูก่อนครับ แล้วความเชื่อในเรื่องของการสร้างซุปเปอร์ฮีโร่ ของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
ชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี คนหนึ่งน่าจะเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาเกิดมาพร้อมข้อบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้เขาเป็นโรคทางระบบประสาทที่เรียกว่า หลุยส์ บาร์ (Louis Bar syndrome) คนอื่นๆ ที่มีความบกพร่องเดียวกันจะไม่สามารถประสานงานการเคลื่อนที่ของดวงตาได้ตั้งแต่ 2 ขวบแล้ว และต่อมาก็จะควบคุมกล้ามเนื้อขาไม่ได้ด้วย พอถึงวัยรุ่นจะต้องนั่งรถเข็น และโดยทั่วไปจะเสียชีวิตก่อนเป็นผู้ใหญ่ 

แต่ชายวัย 45 ปีคนนี้กลับปลอดภัยดี ไม่มีอาการของโรคร้ายเลย
ชายคนนี้ถูกค้นพบโดย อีริค ชาด์ท ศาสตราจารย์นักวิเคราะห์พันธุกรรมแห่งโรงเรียนแพทย์เมาต์ ไซไน ในนิวยอร์ก ชายวัยหนุ่ม 45 ปี คนนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ ชาด์ทเรียกว่า “วีรบุรุษพันธุกรรม” 
เพราะร่างกายของชายคนนี้สามารถชดเชยความบกพร่องทางพันธุกรรมได้ เขาจึงไม่ต้องพบกับชะตากรรมอันน่าสะพรึงที่ฝังอยู่ในพันธุกรรมของเขา
ชาด์ททำงานร่วมกับสตีเฟน เฟรนด์ นักชีววิทยา และ นักวิจัยพันธุกรรมชาวอเมริกันเพื่อค้นหาในวงกว้างว่ายังมีวีรบุรุษพันธุกรรมหรือคนที่สามารถชดเชยความบกพร่องทางพันธุกรรมคนอื่นๆ ได้อยู่อีกหรือไม่ พวกเขาเปิดตัวโครงการใหญ่ที่เรียกว่า “โครงการรีซิลิแอนซ์” 
(The Resilience Project) ขึ้นมา
โดยวางแผนจะทำแผนที่ยีนของอาสาสมัคร 1 ล้านคน 
ถึงตอนนี้ ชาด์ทและเฟรนด์กำลัง
เก็บดีเอ็นเอจากตัวอย่างนํ้าลาย และหากพบวีรบุรุษพันธุกรรม ทั้งสองคนจะทำการตรวจร่างกายของคนเหล่านี้ว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงอาการป่วยได้อย่างไร เพื่อจะได้ค้นพบวิธีใหม่ๆ ในการรักษาโรคอย่าง มะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เป็นต้น

โรคทางพันธุกรรมส่วนใหญ่เกิดจาก -รหัสของสารพันธุกรรมมีการ กลายพันธุ์ เซลล์จึงไม่ทำหน้าที่อย่างที่ควร แต่ยาส่วนใหญ่ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อซ่อมแซมและสร้างใหม่ทว่าเป็นการทำลายไวรัส แบคทีเรีย หรือเซลล์มะเร็งมากกว่า

ชาด์ทและเฟรนด์ สันนิษฐานว่า สุดยอดพลังของ “วีรบุรุษพันธุกรรม” เกิดขึ้นเพราะมีการกลายพันธุ์ของยีนพิเศษที่ช่วยชดเชยความบกพร่องของยีนที่ก่อให้เกิดโรคทางพันธุกรรม ทำให้เราสามารถพูดได้ว่าความบกพร่องสองอย่างนั้นย่อมดีกว่าอย่างเดียว เพราะอีกอันบกพร่องในทางไม่ดี แต่อีกอันบกพร่องในทางที่ดี มันจึงช่วยประคองกันให้อยู่ภาวะปกติ

แทนที่จะทดสอบด้วยยากับผู้ป่วยที่ป่วยอยู่แล้ว แต่เฟรนด์และชาด์ทจะทำตรงข้าม นั่นคือมองหาคนที่สามารถชดเชยความบกพร่องทางพันธุกรรมของตัวเองได้โดยหวังจะพัฒนายาที่สามารถกำจัดความบกพร่องของยีนนั้นๆได้ พวกเขาจัดระเบียบพันธุกรรมของบุคคลนิรนามกว่า 5 แสน 9 หมื่นคน ทั้งจากยุโรป อเมริกา และเอเชีย ที่เคยบริจาคให้กับบริษัทและสถาบันวิจัยต่างๆ 
ในหลายประเทศจากอดีตที่ผ่านมา

และได้พบว่ายีนของ 13 คนในจำนวนนี้ มีคุณสมบัติพิเศษสามารถต้านทานโรคทางพันธุกรรมต่างๆ
ได้ 8 ชนิด

Cystic Fibrosis
เช่น โรค Cystic Fibrosis หรือความผิดปกติของเนื้อเยื่อปอด ซึ่งมีผลต่อการหายใจ และโรค Atelosteogenesis ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการของกระดูกและแขนขาของทารก โดยผู้ที่ป่วยโรคเหล่านี้มักเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดหรือ
ไม่นานหลังจากนั้น
แต่บุคคลทั้ง 13 คนผู้มียีนกลายพันธุ์ซึ่งต้านทานโรคได้นี้ สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ และไม่เจ็บป่วยแต่อย่างใด
พวกเขาคาดหมายจะพบวีรบุรุษพันธุกรรมราว 20-40 คน จากผู้เข้าร่วมโครงการ 1,000,000 คน เมื่อระบุตัววีรบุรุษพันธุกรรมได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ตั้งใจจะทำลำดับพันธุกรรมเพื่อค้นหา “วีรบุรุษพันธุกรรม” แต่กระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

นักวิทยาศาสตร์หวังว่า การศึกษา DNA ที่กลายพันธุ์ซึ่งต้านทานโรคได้นี้ จะเป็นความหวังสำหรับการบำบัดรักษาโรคซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือนักวิจัยไม่สามารถระบุหรือติดต่อกับบุคคลทั้ง 13 คนซึ่งมียีนกลายพันธุ์ที่สามารถต้านทานโรคนี้ได้ เนื่องจากข้อตกลงเรื่องการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
ดังนั้นนักวิจัยจึงได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อ Resilience Project เพื่อพยายามหาตัวผู้มียีนพิเศษ
ที่สามารถต้านทานโรคทางพันธุกรรมนี้จากทั่วโลก 

เพื่อความหวังของการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษาและตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถเก็บตัวอย่างยีนของผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดความผิดปกติทางพันธุกรรม แต่การผ่าเหล่าของยีนนั้นสามารถช่วยให้ไม่เจ็บป่วย ได้กว่าหนึ่งแสนคน เพื่อช่วยให้การศึกษาเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ
ที่มา – ted ,

รายการบล็อกของฉัน