จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับไส้เดือนดินในไฟลัมแอนนีลิดา(Phylum Annelida) จัดอยู่ในคลาสฮิรูดินี(Class Hirudinae) สามารถพบได้ทั่วไปตามป่าดิบชื้นถือว่าทากเป็นดัชนีชี้ความอุดมสมบูรณ์ของป่า
ลักษณะทั่วไปของทาก
ทากมีลักษณะคล้ายปลิง โดยทั่วไปลำตัวเป็นปล้องมีเมือกเหนียวหุ้มไว้ไม่ให้ตัวแห้งรูปร่างเรียวยาว ลำตัวด้านหลังจะโค้งนูนเล็กน้อยส่วนด้านท้องจะเรียบ
เหยื่อคือ แว่นดูด (Sucker) ซึ่งมีอยู่ทั้งทางด้านหัวและด้านท้าย แต่ทากสามารถดูดเลือดได้จากทางแว่นดูดด้านหน้าแต่เพียงด้านเดียว ส่วนแว่นดูดทางด้านท้ายทำหน้าที่ยึดเกาะ
ทากรับรู้ว่าเหยื่ออยู่ไหนได้อย่างไร
ทากรับรู้ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหน
จากแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดิน เพราะฉะนั้น การชิงเดินเป็นคนแรกๆ อาจจะปลอดภัยกว่าเดินท้ายๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น และค่อยๆ รีดตัวเองเข้าไปอยู่ในรูถุงเท้าได้ เนื่องจากลำตัวของมันเหนียว และ ยืดหยุ่นอย่างมาก จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยการใช้แว่นดูดด้านท้ายยืดเกาะติดกับพื้น เมื่อกล้ามเนื้อตามเส้นรอบวงหดตัว ทากก็จะยืดไปข้างหน้า ใช้แว่นดูดรอบปากยึดเกาะติดกับพื้น และค่อยๆปล่อยแว่นดูดด้านท้ายออกจากที่เกาะ ตอนนี้กล้ามเนื้อตามยาวจะหดตัว ดึงเอาส่วนท้ายของลำตัวไปเกาะข้างหน้าได้ เป็นวิธีกระดื๊บๆไปตามพื้นดิน หรือตามตัวของเหยื่อจนถึงจุดที่มันพอใจถึงจะหยุด
วิธีการกัด และดูดเลือดของทาก
จะใช้ปากของมันซึ่งอยู่ทางแว่นดูดด้านหน้าเท่าน ภายในแว่นดูดด้านหน้าจะมีขากรรไกรที่มีลักษณะเป็นสามแฉก แต่ละแฉกก็จะมีฟันเล็กๆ อยู่มากมาย
ทากจะปล่อยสาร 2 ชนิดเวลากัด
1.สารที่มีองค์ประกอบคล้ายกับฮีสตามีน (Histamine) ที่จะช่วยกระตุ้นหลอดเลือดของเหยื่อให้ขยายตัว
2. สารฮีรูดีน (Hirudin) มีคุณสมบัติต้านทานการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะทำให้เลือดของเหยื่อไหลไม่หยุด ถึงแม้ว่าทากจะปล่อยตัวหลุดไปแล้ว
ทำไมหน้าแล้งไม่เห็นทาก
เป็นที่สงสัยกันว่าหน้าแล้งแล้วทากจะไปอยู่ที่ไหน..เพราะทากจำเป็นต้องมีผิวหนังที่ชุ่มชื้นตลอดเวลา..ทากจึงไม่สามารถทนทานกับสภาพที่แห้งแล้งได้ เมื่อถึงหน้า แล้ง ทากจะค่อยๆ รวมตัวกันไปอยู่ในที่มีความชื้นสูงเช่น ริมลำธาร แต่tะไม่ลงไปแช่ในน้ำโดยตรง ทากจะใช้วิธีมุดลงไปใต้ดินที่มีความชื้นสูงกว่า..ทากจะอยู่นิ่งๆไม่มีการตอบสนองใดๆ อาจกินเวลาถึง 6 เดือน เพื่อรอให้ฤดูฝนมาเยือนอีกครั้งเรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย menmen