ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

งานวิจัยเผยฝุ่นจากอุกกาบาต Chicxulub ที่พุ่งชนเมื่อ66 ล้านปีก่อนทำโลกมืดเกือบ 2 ปีและเป็นตัวการที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์


งานวิจัยเผยฝุ่นจากอุกกาบาต Chicxulub ที่พุ่งชนเมื่อ66 ล้านปีก่อนทำโลกมืดเกือบ 2 ปีและเป็นตัวการที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ 

งานวิจัยใหม่ที่เผยฝุ่นจากอุกกาบาต Chicxulub ที่พุ่งชนเมื่อ66 ล้านปีก่อนทำโลกมืดเกือบ 2 ปีและเป็นเพชฌฆาตตัวจริงที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ 


เรื่องอุกกาบาตชนโลกแล้วทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์บางตำราก็บอกว่าเกิดจากอุกกาบาตชนบางทีก็บอกว่าเกิดจากฝุ่นที่เป็นตัวการทำให้โลกมืดมิดจนไดโนเสาร์สูญพันธุ์แต่เราจะเชื่อก็ต้องมีเหตุและผลแต่แน่ๆไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะอุกกาบาตชนแน่นอนไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่


นี่ก็เป็นสมมติฐานอีกอย่างหนึ่งที่
นักวิทยาศาสตร์ถกเถียงกันมานานแล้วว่าอะไรเป็นตัวการที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์กันแน่ในเหตุการณ์อุกกาบาตที่ชื่อว่า ‘Chicxuclub’ พุ่งชนโลกระหว่างแรงกระแทก เขม่าควันจากไฟป่าทั่วโลกอนุภาคกำมะถันที่ระเหยเป็นไอ
หรือฝุ่นจากพื้นดินที่ถูกชน 

งานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร Nature Geoscience
แนะนำว่าฝุ่นอาจเป็นตัวการที่เลวร้ายที่สุดของเหตุการณ์นี้ ด้วยการศึกษาชั้นหินที่หนา 1.3เมตรซึ่งมีส่วนผสมของเขม่าหลังการชนของอุกกาบาต
นักวิจัยเชื่อว่าอนุภาคเหล่านี้ทำให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปกว่า 75% ของทั้งหมด

อุกกาบาต Chicxulub
ตกลงบนโลกในปลายยุคครีเทเชียส (เมื่อ 145ล้านปีถึง 66 ล้านปีก่อน) สร้างปล่องขนาด 180กิโลเมตรและลึก 20 กิโลเมตรสสารวัตถุที่อยู่ในช่องว่างนั้นระเหิดขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว หินเล็ก ๆที่ลอยขึ้นไปตกลงมาเป็นอุกกาบาตไฟแต่สิ่งที่ค้างอยู่นั้นอันตรายกว่า 

การจำลองสภาพอากาศชี้ให้เห็นว่าฝุ่นปริมาณ 2แสนล้านตันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
บดบังแสงอาทิตย์เป็นเวลากว่า 620 วันหรือประมาณ1.7 ปี ขัดขวางการสังเคราะห์แสงของพืช
และเมื่อพืชตาย ทุกอย่างก็เริ่มตาย 


“เราพบว่าการหยุดชะงักของกิจกรรมสังเคราะห์แสงที่เกิดจากฝุ่นนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คาดกันไว้ก่อนงานวิจัยนี้
มาก” Cem Berk Senel ผู้นำการศึกษา
จากสาขาวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่ Royal Observatory of Belgium กล่าว 

รายงานระบุว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4
ปีกว่าพืชจะกลับมาสังเคราะห์แสงในปริมาณเท่าเดิมก่อนการชน
(พืชรอดมาได้นานขนาดนี้เพราะบางส่วนเป็นเมล็ดที่ถูกเก็บรักษาไว้ตามธรรมชาติเพื่อรอวันงอกขึ้นมาใหม่)

แต่ยังไงก็ตาม แม้ฝุ่นจะเริ่มคลายออกไป
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นเวลาถึง
15 ปีและทำให้โลกเย็นลง 15 องศาเซลเซียส 

“การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดนี้ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวลดลงมากถึง 15 องศาเซลเซียส

ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากฝุ่นและอนุภาคกำมะถัน” Senel บอก
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ไดโนเสาร์มีเวลาที่ยากลำบากจนไม่อาจก้าวเดินได้ต่อไป
ทำให้พวกมันสูญพันธุ์ไปในที่สุด 


“สิ่งที่ผลักดันความหายนะของพวกเขาจริง ๆคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อฝุ่นและสิ่งสกปรกจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศและบดบังดวงอาทิตย์ โลกมืดและเย็นไป 2-3ปี
ดาวเคราะห์น้อยไม่ได้ฆ่าไดโนเสาร์ทั้งหมดในคราวเดียว แต่เป็นฆาตกรที่แอบซ่อนอยู่มากกว่า ซึ่งทำให้ 3
ใน 4 ของสายพันธุ์ต่อตาย” Steve Brusatte ศาสตราจารย์ด้านบรรพชีวินวิทยาและวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ กล่าว

แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง
แต่ชีวิตยังคงยืนหยัดและสู้ต่อไป
ในท้ายที่สุดการหายไปของไดโนเสาร์ก็ได้เปิดทางให้สิ่งมีชีวิตประเภทใหม่เพิ่มจำนวนขึ้นมาที่ชื่อว่า‘สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม’

อุกกาบาตชนโลกนี่เคยเกิดมาแล้วในยุคดึกดำบรรพ์ทำไดโนเสาร์สูญพันธุ์
เพราะว่าอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลก
อย่างจัง!!ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงมหาศาล แล้วก็เกิดฝุ่นละอองปกคลุมโลกจนมืดมิดและมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ชักดิ้นชักงอตายไปและค่อยๆสูญพันธุ์ไป  


🕑คุณลองย้อนกลับมาคิดดูนะครับถ้าเกิดในปัจจุบัน มีอุกกาบาตพุ่งชนโลกแบบยุคไดโนเสาร์

คุณคิดว่ามนุษย์ที่อยู่บนโลกนี้จะเป็นอย่างไรมันจะต้องตายมากมาย..ในพริบตาแน่นอน...

รายการบล็อกของฉัน