วันนี้เรามาหาสาระความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของการไหว้กันดีกว่านะครับว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไรรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามบางทีเราอาจไม่รู้ว่าการวายนั้นมีวัฒนธรรมความเป็นมาอย่างไรและมีรากเหง้าวัฒนธรรมมาจากที่ไหน
การไหว้
ไหว้ เป็นการทักทายของชาวไทย เพื่อแสดงความเคารพหรือสักการะด้วยการพนมมือเช่นเดียวกับการทำ อัญชลีมุทรา ของวัฒนธรรมอินเดีย ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความมีสัมมาคารวะแก่กันและกัน นอกจากนี้ยังแสดงถึงการขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง หรืออื่น ๆ ตามแต่โอกาส การไหว้จะใช้สองมือขึ้นประนมเหมือนดอกบัวตูมไว้ระหว่างอก นิ้วแนบชิดสนิทกัน ศอกสองข้างแนบชิดลำตัว และยกขึ้นไหว้ในระดับต่าง ๆ โดยใช้มือกับใบหน้าเป็นตัวแบ่งระดับ
โรนัลด์ แมคโดนัลด์ ตัวนำโชคของแมคโดนัลด์ต้อนรับผู้ใช้บริการด้วยการไหว้
การไหว้ยังคงเป็นธรรมเนียมที่สืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน กลายเป็นมารยาทพื้นฐานของชาวไทย สำหรับการทักทาย การขอบคุณ บางครั้งการไหว้ขอโทษก็ทำเพื่อให้ตนพ้นจากความผิด
ประวัติ
พะนอม แก้วกำเนิด อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวว่าการไหว้ เป็นการแสดงออกโดยธรรมชาติของมนุษย์เพื่อแสดงความรักและเคารพต่อกัน วัฒนธรรมการไหว้ของไทย มีมาแต่เมื่อไร ไม่ปรากฏหลักฐาน คาดว่าน่าจะรับมาจากอารยธรรมอินเดียผ่านศาสนาฮินดูและพุทธ ซึ่งมีการประนมมือเช่นเดียวกันนี้มาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ดังปรากฏหลักฐานเป็นภาพในตราประทับทำจากดินเหนียวของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ส.พลายน้อย ระบุว่า มีหลักฐานทางโบราณคดีเป็นรูปคนพนมมือบนหินชนวนจากวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย และตุ๊กตาสังคโลกเป็นรูปผู้ชายนั่งพนมมือ แสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักการไหว้มาช้านานแล้ว ซึ่งเมื่อชาวไทยรับวัฒนธรรมการไหว้มา ก็ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมกับวิถีชีวิต เวลา และสถานที่ จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมหนึ่งของไทย
แต่เดิมคนไทยจะทักทายคำพูดต่าง ๆ ร่วมไปด้วย เช่น สบายดีหรือ ไปไหนมา หรือกินข้าวมาหรือยัง ทว่าความหมายบ่งไปเชิงสู่รู้ ฟังดูไม่เหมาะสมนัก กระทั่งพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นผู้ริเริ่มการทักทายด้วยคำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายทั้งเมื่อพบหน้าและจากกัน ใช้กันในหมู่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2476 ต่อมาในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้ใช้คำดังกล่าวเป็นคำทักทายเมื่อ พ.ศ. 2481 ซึ่งคำทักทายนี้จะถูกใช้พูดประกอบการไหว้
อย่างไรก็ตามคำว่า สวัสดี ถือเป็นวาจาอันเป็นมงคลที่มีมาช้านาน ดังปรากฏในจารึกยุคอาณาจักรตามพรลิงค์ เมื่อ พ.ศ. 1773 นอกจากหลักฐานจากภาคใต้แล้ว ศิลาจารึกจากภาคเหนือและภาคอีสานก็มีการใช้คำว่าสวัสดี เพราะเป็นถ้อยคำมงคลในพระศาสนา
การปฏิบัติ
การไหว้นั้นไม่จำกัดท่วงท่า สามารถไหว้ได้ในหลายอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งเก้าอี้ ยืน หรือนั่งกับพื้น กระทำด้วยกิริยาอ่อนน้อมสวยงาม โดยการไหว้ ประกอบด้วยกิริยาสองส่วน ดังนี้
อัญชลี คือการพนมมือ โดยการพนมมือด้วยการนำมือสองข้างมาประกบกัน กระพุ่มมือคล้ายรูปดอกบัว ไม่แบนราบ พนมมือแนบไว้ระหว่างหน้าอก ปลายนิ้วมือเฉียงพอประมาณหรือเอียง 45 องศา นิ้วทุกนิ้วเรียงชิดสนิทกันไม่กางออกจากกัน ศอกสองข้างแนบชิดติดลำตัวไม่กางศอก
วันทา คือการไหว้ มีอยู่สามระดับ ในกรณีเพศชายยืนไหว้ ให้ยืนตรง ค้อมตัวลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ ให้นิ้วหัวแม่มือตรงตามระดับการไหว้ แล้วกลับมายืนในท่าตรงตามเดิม ส่วนเพศหญิงยืนไหว้ ให้ยืนตรงแล้วถอยเท้าที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมกับย่อตัวแล้วยกมือขึ้นไหว้ ให้นิ้วหัวแม่มือตรงตามระดับการไหว้ จากนั้นให้ลดมือลงแล้วชักเท้ากลับสู่ท่ายืนตรง หรือเพศหญิงจะยืนไหว้แบบเพศชายก็ได้
ตามธรรมเนียมไทย เวลาแขกมาบ้านก็ไหว้เจ้าบ้านเพื่อขออนุญาต ครั้นจะขอตัวลาก็ไหว้อีกครั้ง และหากมีการรับของจากผู้อาวุโสกว่า ผู้ด้อยอาวุโสต้องทำการไหว้ก่อนรับของ ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง
สำหรับชาวมุสลิมสามารถไหว้บุคคลได้ เช่นการทำความเคารพครูหรือไหว้ทักทายบุคคลอื่นที่เป็นบุคคลต่างศาสนา แต่ห้ามไหว้สิ่งเคารพอื่น หรือไหว้พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือแสดงความเคารพด้วยการกราบไหว้เด็ดขาด
เพราะมุสลิมจะบูชาหรือกราบอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ขณะคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกสามารถไหว้พระสงฆ์ในพุทธศาสนาได้ เพราะเป็นเพศนักบวชควรแก่การเคารพ แต่หากกราบพระจะไม่แบมือ ส่วนพราหมณ์หลวงมีธรรมเนียมการกระหย่งไหว้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายการนั่งยอง ก่อนทอดผ้ากราบ แล้วก้มลงกราบเทวรูปจากท่านั่งดังกล่าว
การแบ่งระดับ
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดระดับของการไหว้ไว้ 3 ระดับ ดังนี้
การไหว้ระดับที่ 1 สำหรับไหว้พระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งยังรวมไปถึงโบราณสถานหรือศาสนสถานอันเนื่องจากพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบเบญจางคประดิษฐ์ได้ ให้ประนมมือขึ้น ให้นิ้วหัวแม่มือจรดกลางระหว่างคิ้ว นิ้วชี้แตะเหนือหน้าผาก ก้มหน้าขนานกับพื้นพอประมาณ อุปมาว่ารัตนตรัยคือแก้วอันประเสริฐ มีค่าสูงสุด ควรแก่การกราบไหว้
การไหว้ระดับที่ 2 สำหรับไหว้ผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโส ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่เราเคารพอย่างสูง ให้ประนมมือขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว อุปมาว่าเป็นบุคคลที่ให้ความเคารพรองจากพระรัตนตรัย เป็นบุคคลที่ให้ลมหายใจ และเป็นบุคคลที่ทำให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้
การไหว้ระดับที่ 3 สำหรับไหว้บุคคลทั่วไปและบุคคลเสมอกัน วัยไม่สูงกว่าผู้ไหว้ ให้ประนมมือขึ้น หัวแม่มือจรดที่ปลายคาง นิ้วชี้แตะที่จมูก ก้มศีรษะเล็กน้อย อุปมาว่าควรแก่การเคารพรองจากบิดามารดา หรือเป็นบุคคลที่พูดคุยด้วยกันประจำ ควรระวังวาจา
ส่วนการรับไหว้ คือการตอบรับการทักทายจากผู้ด้อยอาวุโสกว่า เพื่อแสดงออกว่าเราให้ความสนใจ ผู้รับไหว้กระพุ่มมือไว้บริเวณหน้าอก ปลายนิ้วชี้อยู่ที่ดั้งจมูก นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณคาง สายตามองไปที่ผู้ไหว้ด้วยความหวังดี อุปมาว่ามือที่พนมอยู่กลางอกนั้นคือการตอบรับจากใจ